More

    พระราชกรณียกิจและพระราชดำริ

    วันที่ 19 กรกฎาคม 2522
           อธิบดีกรมชลประทาน (นายสุนทร เรืองเล็ก) และคณะ เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งให้กรมชลประทานสำรวจภูมิประเทศ  เพื่อพิจารณาวางโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กปิดกั้นลำห้วยเจ๊ก และให้พิจารณาโครงการชลประทานขนาดเล็กไว้ตามบริเวณลำห้วยที่เป็นลำน้ำสาขาของลำน้ำโจนทั้งหมด

    วันที่ 8 สิงหาคม 2522
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ มาทรงเปิดศาลพระบวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านเขาหินซ้อน หมู่ที่ 2 ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

    ณ ที่นั้น ราษฎร 7 ราย ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน บริเวณหมู่ 2 ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 264 ไร่ เพื่อต้องการให้สร้างพระตำหนัก ด้วยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปที่ไหนก็พยายามที่จะพัฒนาทำให้ที่ดินเจริญขึ้น เนื่องจากผืนดินเสื่อมโทรมไม่สามารถทำการเกษตรได้ มีพระราชปฏิสันถารกับผู้ถวายที่ดิน สรุปความได้ว่า หากจะสร้างเป็นสถานที่ศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะได้ไหม เมื่อผู้ถวายที่ดินยินดี จึงมีพระราชดำรัสกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับความสำคัญของการสำรวจดินโดยละเอียด เพื่อจัดแบ่งส่วนให้เป็นประโยชน์ต่อการที่จะให้ผู้สนใจได้มาทัศนศึกษาในด้านการชลประทาน  การเกษตรกรรม การปศุสัตว์ ตลอดจนสาธิตอุตสาหกรรมในครัวเรือน

    วันที่ 21 กรกฎาคม 2523
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์มายังศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ทอดพระเนตรกิจกรรมปลูกพืช สาธิตทำปุ๋ยหมัก การอนุรักษ์ดิน คอกสุกร โค อ่างเก็บน้ำห้วยเจ๊ก คูคลองส่งน้ำ ทรงปล่อยปลาสวาย ปลานิล และปลาตะเพียนลงอ่างเก็บน้ำห้วยเจ๊ก มีการทดลองปลูกยางพารา ปลูกพันธุ์ไม้โตเร็ว ศูนย์เพาะชำกล้าพันธุ์ไม้ สวนรุกขชาติสมเด็จพระปิ่นเกล้า สวนพฤกษศาสตร์ สวนป่าสมุนไพร และศิลปาชีพ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปฏิสันถารกับนายบรรหาร ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา และเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย ถึงความพอพระราชหฤทัยที่มีการร่วมมือพัฒนาที่ดินเพื่อจัดเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านเกษตรกรรม เป็นแหล่งให้เกษตรกรและผู้สนใจได้เข้าชมและศึกษา มีพระราชดำริในการสำรวจการชะล้างหน้าดินในฤดูฝน มาตรการการรักษาถนนภายในศูนย์ ตลอดจนความเหมาะสมในการปลูกพันธุ์ไม้และพืชไร่ การทำนาดำ นาหว่าน และการเลี้ยงพันธุ์ปลาในนาข้าว (สรุปเก็บความจากพระราชกรณียกิจเดือนตุลาคม 2522 – กันยายน 2523)

     

    วันที่ 3 สิงหาคม 2524
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ มายังศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของงาน และมีพระราชดำริ สรุปความได้ว่า วัตถุประสงค์ของการตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาก็คือ การพัฒนาที่ทำกินของราษฎรให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น โดยการพัฒนาที่ดิน พัฒนาแหล่งน้ำ ตลอดจนฟื้นฟูสภาพป่า และใช้หลักวิชาการเกษตรในการวางแผนการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ โดยใช้เงินจากการบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเป็นทุนในการพัฒนา ซึ่งศูนย์ศึกษาการพัฒนาจะเป็นฟาร์มตัวอย่างที่เกษตรทั่วไปและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาสามารถมาเยี่ยมชมการสาธิตเกี่ยวกับเกษตรกรรรม เพื่อเป็นการศึกษาหาความรู้ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนาพื้นที่รอบๆ บริเวณโครงการให้มีความเจริญขึ้น เมื่อราษฎรเริ่มมีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น ก็อาจพิจารณาจัดตั้งโรงสีข้าวสำหรับหมู่บ้านแต่ละกลุ่ม ตลอดจนตั้งธนาคารข้าวของแต่ละหมู่บ้าน เพื่อฝึกให้รู้จักพึ่งตัวเองได้ในที่สุด พร้อมนี้ประชาชนชาวอำเภอพนมสารคามได้น้อมเกล้าฯ ถวายพลับพลาที่ประทับ “พลับพลาพระราม”

    วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2525
          สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อรับทราบความก้าวหน้าของโครงการ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หลักศิลาจารึกสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน

    วันที่ 22 สิงหาคม 2527
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มายังศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทอดพระเนตรศูนย์ประสานงานโครงการฯ การจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อป้องกันการกัดเซาะผิวหน้าดิน การผลิตปุ๋ยหมักจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อใช้บำรุงดินแทนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และการผลิตก๊าซชีวภาพ สวนป่า แปลงปลูกไม้โตเร็วพันธุ์ต่างๆ เพื่อใช้ทำฟืนและถ่านโดยวิธีประหยัด แปลงทดลองปลูกพืชทนแล้ง แปลงสาธิตการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดปี แปลงขยายพันธุ์และรวบรวมพันธุ์ไม้ผล โดยเฉพาะพันธุ์มะม่วง แปลงสาธิตการปลูกข้าวไร่ พืชตระกูลถั่ว และพืชผักสวนครัว แปลงสาธิตการปลูกยางพารา บ่อเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด อ่างเก็บน้ำซึ่งใช้เป็นสถานที่ขยายพันธุ์ปลาและกุ้งน้ำจืด แปลงสาธิตการเพาะขยายพันธุ์พืชสมุนไพร โรงฝึกงานศิลปาชีพ โรงสีข้าว ทอดพระเนตรเครื่องสีข้าว ซึ่งบริษัท ซาทาเก้ เอนจิเนียริ่ง จำกัด แห่งประเทศญี่ปุ่น น้อมเกล้าฯ ถวาย สามารถสีข้าวได้ชั่วโมงละหนึ่งตัน เพื่อเปิดบริการสีข้าวให้กับราษฎรที่ยากจน ทรงเยี่ยมร้านค้าสหกรณ์ และมีพระราชดำริ ให้เป็นสหกรณ์ตัวอย่าง ผู้ดำเนินกิจการและผู้ใช้บริการต้องมีวินัยและความซื่อสัตย์ต่อกิจการสหกรณ์

          ทรงปล่อยปลาบึก ปลาสวาย ปลาตะเพียนขาว ปลายี่สก และกุ้งก้ามกราม ลงในอ่างเก็บน้ำห้วยสำโรงใต้  และทรงเยี่ยมราษฎรบ้านห้วยสำโรงใต้ จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปงานสวนป่า เครื่องสูบน้ำพลังแสงอาทิตย์ อ่างเก็บน้ำแห่งที่ 1 และอ่างเก็บน้ำที่ 2 ของศูนย์วิจัยเขาหินซ้อน (สรุปเก็บความจาก พระราชกรณียกิจ ตุลาคม 2526 – กันยายน 2527)

    วันที่ 21 มกราคม 2529
          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ

    วันที่ 26 สิงหาคม 2531 
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานประวัติเบื้องต้นของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แก่ประธานกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ) ณ ศาลาดุสิดาลัย ความว่า

          “…อันนี้ตามประวัติเริ่มต้นศูนย์ศึกษาการพัฒนา เริ่มที่ศูนย์ศึกษาเขาหินซ้อน…” 

          “…ประวัติมีว่า …ตอนแรกมีที่ดิน 264 ไร่  ที่ผู้ใหญ่บ้านให้  “เพื่อสร้างตำหนัก” ในปี 2520 ที่เชิงเขาหินซ้อนใกล้วัดหินซ้อน  ตอนแรกก็ต้องค้นคว้าว่าที่ตรงนั้นคือตรงไหน ก็พยายามสืบถาม ก็ปรากฏว่า พบอยู่ในแผนที่ที่เขาหินซ้อนนั้น (แผนที่ 1:50,000 ระวาง 5236 I, II, 5336 III, IV) เมื่อได้ที่อย่างนั้น ได้คิดมา 2 ปี พยายามหาบนแผนที่ว่า สถานที่นี้เป็นอย่างไร  เสร็จแล้วก็สอบถามดูว่าลักษณะของพื้นที่เป็นอย่างไร ก็ได้พบบนแผนที่พอดี อยู่มุมบนของระวางของแผนที่ จึงต้องต่อแผนที่ 4 ระวาง สำหรับให้ได้ทราบว่า สถานที่ตรงนั้นอยู่ตรงไหน แล้วก็เลยถามผู้ที่ให้ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้างพระตำหนัก แต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะเอาไหม เขาก็บอกยินดี ก็เลยเริ่มทำในที่นั้น…” 

          “…ศูนย์ศึกษาที่หินซ้อนก็เป็นศูนย์ศึกษาแรก ผลที่ศูนย์ศึกษาหินซ้อนนั้นอาจมีน้อย เพราะว่าภูมิประเทศที่จำกัด ต่อมาความคิดของศูนย์ศึกษาก็ได้แผ่ขยายออกไป…”

          “…อันแรกก็ได้ให้กรมชลประทานได้สร้างเป็นอ่างเก็บน้ำ ซึ่งดูดูไปแล้วก็แปลก เพราะว่าอ่างเก็บน้ำนั้นเท่ากับกินที่ของที่ที่ได้มาเกือบทั้งหมด จะเหลือเพียงไม่กี่ไร่ที่จะใช้การสำหรับการเพาะปลูกโดยใช้น้ำชลประทาน ก็เริ่มต้นอย่างนั้น คือ ไม่ถือว่าผิดหลักวิชา มีที่เท่าไรก็มาใช้ ส่วนใหญ่เป็นอ่างเก็บน้ำแล้วก็มาใช้ประโยชน์สำหรับทำการเพาะปลูกเพียงไม่กี่ไร่ แต่ว่าถือว่าทำเป็นตัวอย่าง แล้วผลประโยชน์ที่จะได้ก็ไม่ใช่เฉพาะในที่ของเรา เป็นในที่ที่ลงไปข้างล่าง คงได้รับประโยชน์จากน้ำที่กักเอาไว้…”

    วันที่ 30 มีนาคม 2533
          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสิรินธร หมู่ 1 บ้านชำขวาง ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา 

    วันที่ 23 เมษายน 2540
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มายังศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา สรุปพระราชดำริได้ดังนี้

    จุดเสด็จที่ 1: บนสันเขื่อนอ่างเก็บน้ำห้วยเจ๊ก

          สภาพพื้นที่เดิมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ก่อนการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน ในอดีตเป็นพื้นที่ที่แม้แต่มันสำปะหลังก็ไม่ขึ้น ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเป็นเวลากว่า 10 ปี เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินทรายและดินดาน จึงยังมีการพังทลายของดิน ได้ทอดพระเนตรงานป่าไม้ งานชลประทาน ทัศนียภาพโดยรวมของขอบเขตพื้นที่ศูนย์ฯ ศักยภาพของดิน และการปรับใช้พื้นที่ท้ายอ่างฯ เพื่อประยุกต์กับแนวทฤษฎีใหม่ การจัดการดินและน้ำและการเกษตรแบบผสมผสาน

    พระราชดำริ

      1. เรื่องการปลูกหญ้าแฝกรอบขอบแนวป่าไม้ เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน เศษใบไม้ที่ร่วงหล่นจะช่วยทำให้ดินมีการพัฒนาที่ดีขึ้นเมื่อใบไม้ย่อยสลาย ส่วนหญ้าแฝกที่ปลูกในระหว่างไม้ยืนต้นไม้จะไม่ตาย แต่จะชะงักการเจริญเติบโต เมื่อมีการตัดไม้ออก แฝกก็จะเจริญได้อีกครั้ง ให้ปลูกหญ้าแฝกในดินดาน โดยระเบิดดินดานเป็นหลุมแล้วปลูกหญ้าแฝกลงในหลุม เพื่อดันชั้นดินดานให้แตก สามารถดักตะกอน ตลอดจนใบไม้ทำให้เกิดดินใหม่ขึ้น
      2. เรื่องการใช้น้ำ ใกล้อ่างเก็บน้ำอาจไม่ต้องใช้บ่อน้ำก็ได้ ใช้น้ำจากอ่างได้เลยการก่อสร้างอ่างเก็บกักน้ำต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างตามแผนของโครงการจัดหาแหล่งน้ำสำรองลุ่มน้ำโจนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ถ้าราษฎรไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่สมควรทำ
      3. การเตรียมการก่อนดำเนินงานโครงการทฤษฎีใหม่ (Pre-New Theory) ที่ดินของมูลนิธิชัยพัฒนา ที่อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื่องจากในฤดูฝนน้ำท่วม ฤดูแล้งขาดน้ำ ตลอดจนเป็นดินเปรี้ยว แต่เป็นดินคนละอย่างกับที่จังหวัดนราธิวาส เนื่องจากมีอายุมากกว่า ควรขุดสระเก็บน้ำ 2 สระ โดยชั้นแรกให้เกลี่ยหน้าดินทั้งหมดเก็บเอาไว้ จากนั้นนำดินที่ขุดสระชั้นล่าง ซึ่งเป็นดินเปรี้ยวมาถมเกลี่ยให้เต็มพื้นที่ และนำหน้าดินมาถมกลับคืนสูงประมาณ 1 เมตร พร้อมทั้งสร้างคันดินโดยรอบแปลงพื้นที่โครงการเพื่อไม่ให้กระทบกับพื้นที่ของราษฎรที่อยู่ใกล้เคียง โดยสระเก็บน้ำที่ 1 ให้รับน้ำเปรี้ยวในพื้นที่โครงการ (สระเก็บน้ำที่ 2 ไม่ได้รับน้ำ) เมื่อน้ำในสระเก็บน้ำที่ 1 เต็มให้สูบน้ำเปรี้ยวไปลงสระเก็บน้ำที่ 2 เมื่อน้ำในสระที่ 2 เปรี้ยวมากๆ ให้ใส่สารบำบัด เช่น หินฝุ่น ควรทดลองดำเนินการต่อเนื่องประมาณ 2 ปี คาดว่าสภาพดินและน้ำดีขึ้น จึงดำเนินการตามโครงการทฤษฎีใหม่ต่อไป

    จุดเสด็จที่ 2 : ณ ศาลาทรงงาน บริเวณอุทยานมัจฉา

          แสดงรูปแบบจำลองการพัฒนาลุ่มน้ำโจน ซึ่งประกอบด้วยการสร้างฝายทดน้ำลดหลั่นตามระดับพื้นที่ และรูปแบบการใช้น้ำชนิดต่าง ๆ การใช้ประโยชน์ที่ดินตามสมรรถนะที่ดิน ทั้งที่เป็นพื้นที่ต่ำชายห้วยจนถึงป่าไม้บนที่สูง ข้อดี ข้อเสีย ของการเพาะชำกล้าหญ้าแฝกระบบแผง โรงเรือนผักกางมุ้ง การศึกษาเกษตรยั่งยืน งานวิชาการเกษตรในพื้นที่โครงการส่วนพระองค์

      1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสกับอธิบดีกรมชลประทาน เรื่องแหล่งน้ำและสถานการณ์น้ำ สรุปความว่า สระน้ำต่าง ๆ ภายในศูนย์ฯ รั่วหลายสระ (สระ 6, 8 และ 9) ไม่สามารถเก็บน้ำได้  ให้กรมชลประทานทำการตรวจสอบและพิจารณาปรับปรุงให้ใช้งานได้ โดยให้ปู Soil Cement และถ้ายังทรุดตัวอีก ให้ปู Soil Cement ทับลงไป ทำเช่นนี้จนกว่าจะหยุดรั่ว สระน้ำดังกล่าวเป็นบ่อยืมดินที่ใช้ในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำต่างๆ ได้มีการปรับปรุงมาใช้ประโยชน์ เพื่อให้เป็นแหล่งเก็บน้ำสำหรับใช้กิจกรรมทางการเกษตรต่างๆ บริเวณรอบบ่อ เช่น
        • สระ  6 เป็นสระดาดคอนกรีต แต่เกิดปัญหาน้ำกัดเซาะดินใต้พื้นคอนกรีตที่ดาด จนเป็นโพรง ทำให้แผ่นคอนกรีตแตกร้าวเสียหาย ไม่สามารถเก็บน้ำได้
        • สระ  8  ปูแผ่นยางพลาสติก เกิดปัญหาการรั่วซึม และได้ทำการซ่อมแซมแล้วครั้งหนึ่ง ปัจจุบันสามารถเก็บน้ำได้
        • สระ 9 เป็นสระดิน จึงรั่วซึมมาก กรมชลประทานจะดำเนินการปู Soil Cement หรือดาดคอนกรีตตามความเหมาะสมต่อไป
      1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสกับผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ

    พระราชดำริ

      1. ให้ศึกษาการปลูกหญ้าแฝกในดินดานของตำบลเขาหินซ้อน ซึ่งได้เคยให้ทำในดินดานที่เขาชะงุ้ม (โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมบริเวณเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี) และห้วยทราย (ศูนย์ศึกษาการพัฒนา ห้วยทรายฯ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี) มาแล้ว
      2. ทรงทราบว่าทุกหน่วยงานได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน จนเห็นได้จากชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี ทอดพระเนตรและเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ ให้ศูนย์ฯ ช่วยพัฒนาด้านแหล่งน้ำ การปรับปรุงดิน โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีจากหน่วยงานต่าง ๆ สู่เกษตรกรในโครงการ
      3. เรื่องเงินรายได้ศูนย์ฯ ซึ่งศูนย์ฯ บริหารกันได้เอง รวมถึงหากไม่เพียงพอก็สามารถใช้เงินมูลนิธิชัยพัฒนาด้วยก็ได้ เพื่อความสะดวกในการดำเนินงาน
      4. การทำบัญชีฟาร์ม ทั้งในศูนย์ฯ และถ่ายทอดสู่เกษตรกรรอบศูนย์ฯ จะได้รู้จักการลงทุน กำไร ขาดทุน
      5. ให้ส่งเสริมการจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ ราษฎรในแต่ละหมู่บ้านควรรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มและมีการเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้านบริเวณรอบศูนย์ฯ

    จุดเสด็จที่ 3 : ณ ศาลาริมน้ำ (อ่างห้วยสำโรงเหนือ)

    พระราชดำริ

      1. ที่ศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ทดลองปลูกต้นยูคาลิปตัสดูว่าจะทำให้ต้นไม้อื่นเป็นอย่างไร ดูแล้วต้นใหญ่และตรงดีด้วย พื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ ให้ปลูกเป็นหย่อมๆ ไม่ให้เป็นป่าใหญ่ ไม่ให้ไฟไหม้  มีพืชไร่แซม มีการตัดเอาไปเผาถ่าน และปล่อยให้โตขึ้น เมื่อก่อนพูดถึงยูคาลิปตัสมีแต่ไม่กับไม่ เพราะฉะนั้นต้องปลูกยูคาลิปตัส ถ้าเป็นประโยชน์ก็ดี อย่างไรก็ตามต้องศึกษาดู ที่นี่ต้องปลูก เพราะไม่มีอะไรเลยที่จะขึ้นได้ ในป่ายาง ปลูกกระถินด้วย มีอยู่พักหนึ่งต้นยางไม่โต เพราะกระถินดูดน้ำหมด แม้จะทำน้ำหยดแล้วก็ยังช่วยได้น้อย สภาพที่ดินบริเวณศูนย์ฯ เมื่อก่อนมีน้ำนิดเดียว เมื่อกั้นฝายเป็นขั้นๆ ก็ทำให้ชุ่มชื้น  ตรงนี้ก็แฉะปลูกต้นไม้อะไรก็ดีขึ้น ทำโครงการตอนแรกไม่ได้สำรวจ ดูจากแผนที่  ให้ชลประทานปรับและทำเขื่อนตรงนี้ แต่ตอนนี้ต่างจากตอนแรกมาก

    กรมพัฒนาที่ดินไม่ใช่กรมทำลายที่ดิน ก็ต้องพัฒนาที่ดิน ที่นี่เริ่มจากศูนย์ ดีขึ้นๆ ดินที่นี่เป็นดินดาน เป็นทราย ต้นกระถินเมื่อขึ้นรากก็แผ่ไปทั่ว ต้องตัดออกในที่สุดก็ปลูกไม้ของอาจารย์พิศิษฐ์ (ดร.พิศิษฐ์  วรอุไร) พิสูจน์ได้ว่าดินเลวเท่าไรก็พัฒนาได้ ต้องใช้วิธีการจึงเชื่อแน่ว่าที่นี่ทำได้ พื้นที่ศูนย์ฯ เขาหินซ้อนมีน้ำซึม เราใช้ประโยชน์จากภูเขา ฝนตกลงมาก็ชะใบไม้ลงมาเราใช้ประโยชน์จากป่าผ่านห้วยน้ำโจน

      1. หมู่บ้านสหกรณ์นิคม รัฐบาลมอบที่ดินให้ทำกินอยู่ในเขตป่าทำได้เพราะป่าบางแห่งไม่ได้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร แต่พอได้เอกสารสิทธิก็ขายให้นายทุนเพื่อทำรีสอร์ทเกิดปัญหาอีก สทก. เกิดเมื่อปี 2524 ที่ดอยอินทนนท์วางหลักเกณฑ์คือ สทก.1 ให้มีสิทธิ์ทำกินไม่แยกออกจากป่าไม้ เมื่อได้ สทก.2 ก็ทำมาหากินได้อย่างดี อยู่ต่อไปก็เป็น สทก.3 เป็นการสร้างเขตที่ชัดเจน จำแนกให้เห็น สทก.3 จะอยู่ที่สหกรณ์หมู่บ้าน มีสิทธิ์กู้เงิน ธกส. ได้ โดยหมู่บ้านใช้กองทุนในหมู่บ้าน รวมเป็นกลุ่มหลายๆ กลุ่ม ตัวอย่างเช่น โครงการหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง (จังหวัดเชียงใหม่) กู้เงินธนาคารกรุงไทย เดี๋ยวนี้ยังใช้หนี้ไม่ได้ หนี้สูญมีมาก ถ้าบริหารดีๆ จะได้กลับคืนมาบ้าง ต้องใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการกู้เงินของสหกรณ์หนองโพให้กู้ส่วนหนึ่ง เมื่อใช้คืนก็ตั้งเป็นกองทุนให้ลูกหลานเขาเอง เริ่มต้นจากเราให้กองทุนริเริ่ม นานวันเงินก็เพิ่มกองใหญ่ขึ้น  เรื่องกองทุนถ้ากู้แล้วคืนเงินก็จะหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ต้องมีหลักเกณฑ์ที่ว่าจะต้องมีรายได้เพื่อจะเอาเงินมาคืนกองทุน ต้องสอนให้คืนหนี้
      2. การปรับปรุงดิน ที่ดินของมูลนิธิชัยพัฒนาพื้นที่ 50 ไร่ อยู่ที่อำเภอบ้านนา (จังหวัดนครนายก) หน้าแล้งแห้ง หน้าน้ำก็ท่วมปลูกอะไรไม่ค่อยได้ ดินก็เปรี้ยวจัด ดูจากภาพถ่ายดาวเทียม คิดว่าขุดสระ 2 สระ เอาดินมาเฉลี่ยใน 50 ไร่ ความสูงประมาณ 1 เมตร เป็นดินเปรี้ยว พอฝนลงมาชะล้างดินที่เปรี้ยวไปลงสระ ปล่อยน้ำไปที่อื่นไม่ได้ คนอื่นเขาจะเดือดร้อน น้ำฝนจะชะความเปรี้ยวลงสระ  สักระยะหนึ่งน้ำระเหยเหลือครึ่งสระ แล้วสูบน้ำจากบ่อแรกไปใส่ที่สระ 2 แรกๆ ไม่ต้องปลูกพืชอะไร สระแรกคอยรับน้ำจากฟ้า สระจุ 20,000 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับน้ำฝนมี 50 ไร่ น้ำระเหยไปบ้าง ที่เหลือก็ยังพอใช้ได้ตลอดปี ข้อสำคัญจะต้องทำเป็นคันให้รอบ ปรับพื้นที่ให้เท ถ้านอกคันน้ำท่วม ก็ให้ต่อท่อทแยงออกไปข้างนอก เอาน้ำที่ท่วมมาเติมในสระ ฝนก็ช่วยเติม ภายใน 3 ปี น่าจะปลูกข้าวได้ผล ให้ทดลองดูจะสำเร็จหรือไม่ ไม่เป็นไร เป็นที่ของเราเอง แต่ถ้าสำเร็จก็พิสูจน์ว่าดินใช้ได้ จะเป็นประโยชน์ จะไปทำในที่ของชาวบ้านไม่ได้ ถ้าน้ำฝนไม่พอก็ใช้ท่อเจาะทแยง ที่แนะว่าให้ขุดร่องแล้วได้น้ำก็ถูกต้อง แต่ที่ให้ขุดสระนั้นเป็น concept ดินที่ขุดเอามาเฉลี่ยในแปลง ทำเป็นร่องน้ำก็ได้ ไม่ผิดอะไร นี้เป็นปลีกย่อยที่จะแก้ไขได้ ที่พูดมาเป็นหลักการ  ไม่ใช่เด็ดขาดตายตัว จะทำให้ดินหายเปรี้ยวโดยไม่ต้องใส่ปูนจำนวนมากๆ ปูนไม่แพงแต่ค่าขนส่งจะสูง เป็นหลักการที่เราพยายามทำ หากปลูกพืชอะไรในดินเปรี้ยวได้ก็ดี ทำให้เกิดอินทรีย์ขึ้น พัฒนาดินขึ้นมาโดยการใส่ต้นไม้ ทำเป็นร่องที่ติดต่อกันแล้วน้ำลงที่สระก็ทำได้ เป็นการล้างดิน ก็แล้วแต่ภูมิประเทศว่าเป็นที่ราบหรือที่ภูเขา ต้องช่วยกันคิด ตอนแรกอาจไม่ได้ประโยชน์ ที่ให้ทำเป็น 2 สระ เป็นหลักการ ให้ช่วยกัน อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี ที่นครนายกไม่พูดถึงปูนมาร์ล เพราะเราใช้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลย เราจะหาวิธีใช้น้ำฝนผ่านดิน เป็นการล้างความเป็นกรดของดิน การลดกรดโดยไม่ต้องใส่ปูน หรือนำมาใส่ทีหลังก็ไม่เสียหาย ทำอย่างนี้ไม่เป็นการใช้อภิสิทธิ์แต่อย่างใด  เรื่องการใช้น้ำ ชาวบ้านก็ไม่เดือดร้อน เป็นการทดลองไม่ใช้ปูน ที่นครนายก เรามีเขื่อนท่าด่าน ใช้ประโยชน์ได้สองแสนกว่าไร่ ถ้าเอาน้ำจากท่าด่านมาล้างดินเปรี้ยวก็อาจมีปัญหา เราดื้อที่จะทำที่ 50 ไร่ เพราะเป็นที่ของเราเอง ทดลองว่าจะได้ผลอย่างไร ใช้วิธีแบบใหม่จะเรียกว่าเก่าก็ได้ คือบางคนอาจคิดว่าไม่ทันสมัย เป็นเรื่องของการศึกษาวิจัย การใส่ปูนตั้งแต่ทีแรกเป็นของธรรมดา รู้กันอยู่แล้ว เราไม่เอา ดื้อเพื่อให้รู้ ได้หรือไม่ได้ ไม่เป็นไร หลายๆ ฝ่ายไปช่วยกันคิด ( เอกสารจากสำนักงาน กปร. 2540 ประมวลพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันพุธที่ 23 เมษายน 2540)

    วันที่ 23 เมษายน 2540 
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสด้วยความพอพระทัย ในคราวเสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปทอดพระเนตรผลการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ความว่า  “…ที่เขาหินซ้อนหลายฝ่ายช่วยกันใช้เวลา 15 ปี ที่นี่จึงเป็นแม่แบบช่วยชาวบ้านได้ ที่อื่นเลยทำง่ายขึ้น ต้องอดทน แล้วเป็นไง ก็ได้ประโยชน์ ชาวบ้านมีความสุข เราก็สุข ที่นี่เมื่อก่อนปลูกมันสำปะหลังยังไม่ขึ้นเลย เดี๋ยวนี้ดีขึ้น แต่ก็เย็นสบายดี เปลี่ยนแปลงไปมาก…”

    วันที่ 19 มิถุนายน 2540 
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานข้อมูลที่ทรงบันทึกและทรงวิเคราะห์ปัญหาด้านต่าง ๆ ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แก่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  ณ พระราชวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ความว่า  

          “…ปัญหาที่ 1 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา : 2522 มีการตัดป่า แล้วปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพดและมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้ดินจืดและกลายเป็นดินทราย ในฤดูแล้งจะมีการชะล้างเนื่องจากลมพัด (wind erosion) ในฤดูฝนจะมีการชะล้างเนื่องจากน้ำเซาะ (water erosion)…”

    จากเอกสารพระราชทานแก่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ทรงบันทึกไว้

    พระราชดำริ “ด้านสมรรถนะของดินในศูนย์ฯ”

          “…เป็นดินทราย มีแร่ธาตุน้อย…” 

          “…ที่ดินที่อยู่ในร่องห้วยมีอยู่พอใช้ได้ ไม่มีปัญหามาก ใช้ปุ๋ยตามปกติ ที่บนเนินปรากฏว่าเป็นทราย ดินดานและหิน ต้องปลูกหญ้าตามแนวระดับ เพื่อยึดดินและให้เกิดปุ๋ยอินทรีย์ ดิน (ทราย) ที่ไม่ปลูกหญ้าถูกชะล้างเมื่อฝนตก ปลูกต้นไม้นานาชนิดเพื่อรักษาความชื้น…”

    พระราชดำริ “การพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่”

          “…ก่อนอื่นได้สร้างเขื่อนกั้นห้วยเจ็ก ซึ่งมีน้ำซับ (พิกัด QR 715208) เมื่อไปทำพิธีเปิดพระบรมรูปสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ที่วัดเขาหินซ้อน ได้ไปสำรวจพื้นที่และกำหนดที่ทำเขื่อน (8 สิงหาคม 2522) ต่อจากนั้นได้สร้างอ่างเก็บน้ำเพิ่มเติม (นอกเขต) คืออ่างห้วยสำโรงเหนือและห้วยสำโรงใต้…”

          “…การสร้างทำนบดินเก็บกักน้ำห้วยเจ๊ก (3) ควรก่อสร้างในบริเวณที่ซึ่งอาจจะเก็บปริมาณน้ำได้น้อยกว่ากำหนด แต่ไม่กระทบกระเทือนต่อที่ซึ่งสามารถใช้ปลูกข้าวได้…”

    พระราชดำริ “การคัดเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่”

          “…เมื่อได้พัฒนาน้ำขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เริ่มปลูกพืชไร่ และเลี้ยงปลาในที่ลุ่ม ส่วนที่อยู่บนเนิน ก็เลี้ยงปศุสัตว์ ปลูกหญ้า และต้นไม้ผลและป่า การเลี้ยงปศุสัตว์ ปลูกหญ้าและต้นไม้นี้ จะทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ในที่สุดจะใช้ที่ดินได้ทั้งหมด กรรมวิธีนี้อาจต้องใช้เวลานาน จะสามารถเปลี่ยนจากกระบวนการที่ไปทางเสื่อม มาเป็นทางพัฒนาให้เป็นพื้นที่สมบูรณ์…”

    พระราชดำริ “การผันน้ำจากที่ต่ำชักนำขึ้นที่สูง”

          “…นอกจากที่ที่ได้รับน้ำชลประทานก็ยังมีที่ที่อยู่เหนืออ่าง ก็ได้ประโยชน์หลายอย่างในการปลูกพืชอย่างอื่น และในการศึกษาเกี่ยวข้องกับต้นไม้ เกี่ยวข้องกับการนำน้ำที่อยู่ต่ำเอาขึ้นที่สูง โดยใช้วิธีสูบในลักษณะต่างๆ เช่น ถ้าสูบอย่างปกติธรรมดาก็ใช้เครื่องยนต์สูบขึ้นไป ก็ได้ที่เพิ่มเติมในการพัฒนา นอกจากนั้น ก็ใช้กังหันลมก็ได้ หรือใช้ไฟฟ้าจากโซลาเซลล์ก็ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งก็ใช้จากกังหันที่ใช้กำลังของน้ำที่เราใช้ลงไป แล้วก็ส่วนหนึ่งก็ทำให้สูบขึ้นไป…”

    พระราชดำริ “การปลูกพืชเพื่อประโยชน์เอนกประสงค์”

          “…เมื่อจำแนกชั้นสมรรถนะของที่ดิน สำหรับพืชไร่และการปลูกป่าแล้ว ก็สมควรที่จะมีการปลูกพันธุ์ไม้ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาผิวดินและความชุ่มชื้นของอากาศแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อการใช้ในครัวเรือน อาทิ ไม้เพื่อทำฟืน ไม้เพื่อทำบ้าน และไม้ผล เป็นต้น…”

    เมื่อครั้งแรกเริ่มจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีผู้กราบบังคมทูลรายงานว่า การลงทุนพัฒนาในพื้นที่นี้อาจไม่คุ้มทุน แต่ทรงคัดค้านและพระราชทานข้อคิดว่า

          “…ต่อมา ฝ่ายกรมต่าง ๆ ก็บอกว่าแถวนี้ดินมันไม่ดี ใช้ไม่ได้ ไม่ควรจะทำโครงการ ไม่คุ้ม แต่ว่า ก็ได้พูดว่า ดินไม่ดีนั่นเองมีเยอะแยะในประเทศไทย ถ้าหากบอกว่าที่นี่ดินไม่ดี ไม่ช่วยไม่ทำ ลงท้ายประเทศไทยทั้งประเทศจะกลายเป็นทะเลทรายหมด เจ้าหน้าที่ก็เข้าใจก็เลยพยายามหาวิธีที่จะฟื้นฟูดินให้เป็นดินที่ใช้การได้ คือมาบัดนี้ ปลูกข้าวก็ได้ ปลูกพืชอะไรต่าง ๆ ก็ได้ โดยที่ถ้าดูตามสูตรที่เขาใช้กันว่า ลงทุนเท่าไหร่ แล้วก็ผลประโยชน์เท่าไหร่ มีสัดส่วนอย่างไรก็ออกจะไม่ได้ แต่ว่าถ้าหากว่านึกดู เราปรับปรุงแล้ว พื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ต่อไปก็มากขึ้น แล้วผลผลิตก็มากขึ้น นอกจากนั้น ผลผลิตนอกเขตก็จะได้มาก เป็นอันว่าเหมาะสมในการทำโครงการ จึงเป็นที่ที่เราต้องศึกษา แล้วก็ดูว่าในที่สุดจะได้ผลอย่างไร ศูนย์ศึกษาการพัฒนาก็เกิดขึ้น…”

    พระราชดำริซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ทรงปฏิบัติในศูนย์ศึกษาทุกแห่ง 

          “…การพัฒนาที่ดินเลว หรือที่ดินเสื่อมโทรม ให้ได้รับการฟื้นฟูจนกลายเป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์…”

    วันที่ 3 ตุลาคม 2546     
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ความว่า “…ความจริงที่ตรงนั้นจะราคาแพงขึ้นเยอะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาที่ตรงนั้น ถ้าไปซื้อจะไม่ขายให้ เดี๋ยวนี้ที่นั่นปลูกมะม่วง ปลูกผักได้อย่างดีมีกำไร ที่รักที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่จะทำให้มีกำไร ไม่เคยเอาเงินที่ได้มาเป็นถือว่าเป็นกำไร แต่ว่าสร้างเพิ่มเติม และซื้อที่เพิ่มเติมให้ สามารถที่จะเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ซึ่งคนก็รู้จักกันทั้งนั้น…”